วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทรงปลงอายุสังขาร



ทรงปลงอายุสังขาร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเผยแผ่ศาสนาเป็นเวลาถึง 45 ปี
เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติ
ขณะประทับอยู่ที่ปาวาลเจดีย์
ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ทรงปลงอายุสังขารว่า
“นับแต่นี้ไปอีก 3 เดือน ตถาคตจักดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน”
ภายในเวลา 3 เดือนนั้น
ทรงเตรียมการเรื่องการปรินิพพานไว้พร้อมสรรพ
เพื่อให้เกิดความสะดวกกับทุกฝ่าย และทรงสะสางเรื่องราวทุกอย่าง
เพื่อให้พระพุทธศาสนาปักหลักมั่นคง
พร้อมเป็นหลักชัยของมนุษยชาติตราบนานเท่านาน

 

ปฐมเทศนา


                                    
ปฐมเทศนา (อ่านได้หลายอย่าง คือ "ปะ-ถม-มะ-เท-สะ-นา", "ปะ-ถม-มะ-เทด-สะ-หนา", "ปะ-ถม-เทด-สะ-หนา") แปลว่า การแสดงธรรมครั้งแรก เป็นคำเรียกเทศน์กัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เมื่อวันเพ็ญกลางเดือน 8 (วันอาสาฬหบูชา)

ปฐมเทศนา มีชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เรียกสั้นๆ ว่า ธรรมจักร ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงเรื่อง อริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรจมรรค ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั่นเอง

พุทธประวัติ ตอน ผจญมาร

ผจญมาร

                            13653

พุทธประวัติ ตอน ผจญมาร

 ในวันก่อนที่พระสิทธัตถะจะตรัสรู้ พระองค์ได้ประทับบนบัลลังก์หญ้าคา พร้อมได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า
แม้เลือดและเนื้อในสรีระนี้จะเหือดแห้งไป เหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามทีเถิด
ตราบใดที่ยังไม่บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด”

           เมื่อพญามารทราบปณิธานอันแน่วแน่ ก็ระดมพลเสนามารมาขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของพระองค์ แต่พระองค์ไม่หวาดหวั่นประการใด เมื่อพญามารอ้างว่าบัลลังก์ที่พระองค์ประทับเป็นของตน โดยมีเหล่าเสนามารเป็นพยาน และท้าทายว่ามีใครที่เป็นพยานให้แก่พระองค์ได้บ้างว่าบัลลังก์นี้เป็นของพระองค์ พระสิทธัตถะจึงเหยียดนิ้วชี้ลงแผ่นดิน เพราะในการให้ทานในแต่ละครั้งพระองค์ทรงหลั่งทักษิโณทก ทันใดนั้นพระแม่ธรณีจึงมาเป็นพยาน และบีบมวยผมซึ่งชุ่มด้วยน้ำแล้วหลั่งไหลออกมาเป็นทะเลท่วมเหล่ามารจนพ่ายหมดสิ้น

โอวาทปาติโมกข์






                               

โอวาทปาติโมกข์

- วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 (มาฆบูชา) เกิดมีจตุรงคสันนิบาต ซึ่งประกอบด้วย 
1.)วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา
2.)พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
3.)พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖ ซึ่งหมายถึงความสามารถ พิเศษ ๖ ประการ ได้แก่ แสดงฤทธิ์ได้ ระลึกชาติได้ ตาทิพย์ หูทิพย์ กำหนดรู้ใจคนอื่นได้ และบรรลุอาสวักขยญาณ
(คือญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย)
4.)พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)
ทรงเทศน์ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งถือเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ใจความว่า 
" จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำใจให้บริสุทธิ์ " 
- พระสงฆ์ปรารถว่าไม่เคยเห็นฝนเช่นนี้มาก่อน พระพุทธจึงทรงเล่าว่า ฝนนี้เคยตกมาแล้วเมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร แล้วจึงทรงเล่าเรื่องมหาเวสสันดร

เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน


                                                ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พุทธประวัติ ปรินิพพาน
                                                 
                                             
                                                      เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน            
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี ทรงปลงอายุสังขารว่า อีก ๓ เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน โดยก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๑ วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย เกิดอาพาธลงพระโลหิต พระพุทธองค์เกรงว่านายจุนทะถูกกล่าวโทษ จึงตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอนิสงส์ที่สุด มี ๒ อย่าง คือ เมื่อตถาคต(พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และเมื่อเสวยแล้วปรินิพพาน"
และ มีพระพุทธดำรัสว่า "ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"
พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่ พระสุภัททะปริพาชก ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภัททะ" คือ สาวกองค์สุดท้ายที่พระองค์ทรงบวชให้ ท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้
ในคราวนั้น พระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย ว่า สังขารทั้งปวงมี ความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ ให้สมบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
จากนั้น ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ รวมพระชนม์ ๘๐ พรรษา
วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช
ปัจจุบันเรียกว่า "วันวิสาขบูชา"

พุทธประวัติในวัยเด็ก

                                          

                                                               พุทธประวัติในวัยเด็ก


- หลังประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ จึงทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา
  - ศึกษาเล่าเรียนจนจบระดับสูงของการศึกษาทางโลกในสมัยนั้น ค์อ ศิลปศาสตร์ถึง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร
- พระบิดาไม่ประสงค์จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอก จึงพยายามให้สิทธัตถะพบแต่ความสุขทางโลก เช่น สร้างปราสาท 3 ฤดู และเมื่ออายุ 16 ปี ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกกับนางพิมพาหรือยโสธรา ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา
- เมื่อมีพระชนมายุ 29 ปี พระนางพิมพาก็ให้ประสูติ ราหุล (บ่วง)

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เสด็จออกผนวช

ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จออกผนวช
 
ประวัติพระพุทธเจ้า
        วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา

          ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ